
กล้องตัวนี้แทบจะเหมือนกับกล้อง C500 Mark II รวมไปถึงเลนส์ mount แบบเปลี่ยนได้ และยังสามารถใช้งานอุปกรณ์เดียวกันได้อีกด้วยและนี้คือสิ่งที่ดี เพราะนี้หมายความว่า มันเป็นกล้องที่ขนาดกำลังดี, น้ำหนักเบา และกะทัดรัดสำหรับกล้องถ่ายภาพยนตร์ มีการควบคุมที่ตอบสนองต่อการจัดการวางปุ่มที่ใช้งานง่าย และการจับถือที่สบายมือ
คุณสมบัติระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่เหมือนกับกล้องดิจิทัล

คุณสมบัติที่เหมือนกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวของกล้องดิจิทัลที่ให้ผลลัพธ์ความคงที่ที่น่าประหลาดใจแม้แต่ในความยาวโฟกัสที่ยาวขึ้น เมื่อคุณใช้เลนส์ non-native manual เช็กให้แน่ใจก่อนว่าคุณได้เปิดการใช้งานความยาวโฟกัสไปที่เมนูระบบป้องกันภาพสั่นไหวเพื่อป้องกันภาพไม่ให้ภาพสั่นแบบที่คุณไม่ต้องการ
แต่สำหรับเลนส์กล้อง native มันง่ายมาก และได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ระบบป้องกันภาพสั่นไหวจะเพิ่มการครอบตัด 11% ในภาพของคุณแบบเดียวกันกับกล้อง C500 Mark II ดังนั้นคุณต้องคำนึงถึงสิ่งนั้นก่อนที่คุณจะเลือกเลนส์ เพราะนั้นคือข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างสองกล้องนั้นคือมุมมองของกล้องนั้นนั่นเอง
มุมมองภาพ และ การเลือกใช้เลนส์

นี้คือกล้อง Super 35มม. ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่กว่า super 35 เล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกล้องแบบ full-frame ในปัจจุบัน ฉันพบว่ามันมาพร้อมกับการครอบตัดที่ประมาณ 1.43x ใน ultra-HD ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับ super 35 ธรรมดา คุณได้รับผลลัพธ์ที่มากขึ้นเล็กน้อย แต่คุณต้องพิจารณาสิ่งนี้เมื่อเลือกใช้เลนส์ เลนส์ full-frame ดูจะเป็นเลนส์ที่ดี แต่จริงๆ แล้วCanon EF-S สำหรับ APS-C 1.6x จะทำให้เกิดภาพลวงตาได้
อย่างไรก็ตาม เลนส์ Sigma 18-35 สร้างวงกลมภาพขนาดใหญ่เพื่อครอบคลุมเซนเซอร์นี้ แม้แต่ใน DCI 4K ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีไว้ในครอบครองเพราะมันยังใช้งานได้ ตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบเซนเซอร์ full-frame กับตัวที่เล็กกว่าอีกตัว เราอาจจะต้องการพิจารณาอีกสักสองสามองค์ประกอบเช่น มันสร้างจุดรบกวนในภาพไหม หรือให้ความชัดลึกที่ดีไหม
ความชัดลึก

ความชัดลึกคือสิ่งที่ง่ายอย่างหนึ่งเหมือนกับที่ฉันได้บอกไปว่า คุณจำเป็นต้องใช้เลนส์กว้างบนกล้องตัวนี้เพื่อสร้างมุมมองที่คล้ายกันกับของกล้อง C500 และแน่นอนว่าเลนส์ที่กว้างมีความชัดลึกที่ชัดเจน ซึ่งหมายถึงว่าถ้าคุณกำลังมองหากล้องที่ให้ภาพที่แสงเงาไม่มากนัก คุณอาจต้องการรับกระจกที่เร็วขึ้นซึ่งอาจจะแพงขึ้น ฉันไม่คิดว่าการที่แพงกว่าเท่านั้นที่จะชี้ว่าจะสามารถลบออกได้ทั้งหมด กล้องสองตัวนี้มีราคาต่างกันที่ประมาณ 180,000บาท และมันก็ประหยัดกว่ากันพอสมควรเลยทีเดียว แต่เอาจริงๆ แล้วฉันมองไม่เห็นปัญหาใหญ่มากนัก โดยใช้เลนส์ f/2.8 และ f/4 ฉันคิดว่ากล้องนี้ค่อนข้างใหญ่กว่าเซนเซอร์ super 35 เล็กน้อยและมันสามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม
จุดรบกวน

สำหรับจุดรบกวน นั้นดูสะอาดมากกว่ากล้อง C500 Mark II และกล้อง full-frame ตัวอื่นๆ ที่ฉันมี และของแบบนี้มักจะแสดงให้เห็นได้ยากบนyoutube แต่การเปรียบเทียบที่ง่ายที่สุดคือ กล้อง C300 Mark III มีจุดรบกวนคล้ายกับ XF-AVC ด้วยการปิดการลดจุดรบกวนเช่นเดียวกับที่กล้อง full-frame ของSony A7 III ด้วยการเปิดการลดจุดรบกวนซึ่งให้ความน่าประทับใจอย่างมาก และเมื่อคุณใช้การลดจุดรบกวนเพียงหนึ่งครั้งบนกล้อง C300 Mark III ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นบนกล้อง C500 Mark II จุดรบกวนก็จะหายไปทันที
ความละเอียดและรายละเอียดภาพ

ข้อดีอีกอย่างของกล้อง C500 Mark II ก็คือเซนเซอร์ 6K ที่สามารถสร้างภาพที่สุ่มตัวอย่างจาก 4K ซึ่งกล้อง C300 Mark III มีเพียง pixel สำหรับ 4K เท่านั้นจริงๆ ก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่ใหญ่นัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ Sony A7 III ซึ่งเป็น 6K จากการสุ่มตัวอย่าง คุณจะเห็นว่าสุดท้ายแล้วรายละเอียดในภาพที่ได้จะสะอาดเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกล้อง C300 เมื่อคุณใช้เลนส์ตัวเดียวกัน และแน่นอน มันมีกำลังขยายที่ 200% เซนเซอร์ 6K คือ 5-10% ดีกว่าบนขอบคอนทราสต์ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันไม่เหมือนกับกล้อง C300 Mark III หรือทำให้กล้อง C500 Mark II ล้าสมัยหรืออะไรก็ตาม แต่ฉันอยากจะบอกว่าความละเอียด 4K ที่มุมมอง 100% โดยไม่มีกำลังขยายนี้คือข้อดีที่คุณได้รับจากกล้อง C500 Mark II นั้นคือมุมมองที่กว้างขึ้น
โฟกัสอัตโนมัติ

โฟกัสอัตโนมัติไม่เหมือนกันทั้งในโหมด 60p Face Tracking และในโหมด 120p Standard AF คุณไม่สามารถใช้การติดตามหรือการตรวจจับใบหน้าได้ แต่คุณยังคงทำได้ด้วยความเร็ว และคุณยังสามารถยืดหยุ่นได้และใช้งานได้ดีทีเดียว มันทำงานได้ไม่ดีเท่า AF ใน 60p หรือต่ำกว่า และต้องการให้คุณตอบสนองความเร็วเพื่อให้ได้สิ่งที่ใช้งานได้ แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันเป็นคุณสมบัติที่ดี
การพิจารณาที่เราพูดถึง 120 เฟรม/วินาที ใน 4K ด้วยตามที่ฉันมองเห็นจากการทดสอบพบว่าภาพยังคงมีรายละเอียดที่ดีและคมชัด โดยไม่มีอะไรที่เห็นไม่ชัด โฟกัสอัตโนมัติสูงสุดถึง 60เฟรม/วินาที คือสิ่งที่เหมือนกันกับกล้อง C500 Mark II ซึ่งเป็นกล้องที่ฉันเลือกในปัจจุบันว่าเป็นกล้องที่โฟกัสอัตโนมัติดีเยี่ยมในหลายๆ กล้อง มันฉลาด, เร็ว แต่มันลื่นไหลมาก การเคลื่อนไหวแบบไม่มีสะดุดนั้นสามารถหมุนได้ในระดับที่แม่นยำ และมันสามารถควบคุมได้ด้วยการใช้ปากกาสัมผัส ซึ่งคุณสามารถสัมผัสตรงจุดที่อยากให้มันโฟกัสบนหน้าจอได้โดยตรง
โดยรวมถือว่ากล้อง C300 Mark III เป็นที่ยอดเยี่ยมมากกล้องหนึ่งที่สามารถเทียบเท่ากล้อง C500 Mark II ได้ เนื่องจากการพิจารณาว่ามันค่อนข้างดีในหลายๆ ด้าน และมีความสามารถทำได้ในแทบทุกอย่างที่กล้อง C500 Mark II สามารถทำได้ และแน่นอนว่ามันจะดีขึ้นมากถ้ามันเป็นการสุ่มตัวอย่างจากภาพ 6K ซึ่งให้รายละเอียดที่มากกว่าเพียงเล็กน้อย และมันอาจจะถ้าฉันไม่จำเป็นต้องใช้เลนส์ที่มีมุมมองกว้างขึ้นสำหรับการเปรียบเทียบกล้องนี้กับกล้อง full-frame แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบเล็กน้อยเพื่อแลกกับภาพถ่ายที่สะอาดไร้จุดรบกวน, ภาพ RAW ไฟล์ที่เป็นประโยชน์, คุณภาพการถ่ายภาพ 120เฟรม/วินาที, ระบบเปิดรับแสง และโครงสร้างอัตราขยายที่น่าพึงพอใจที่สุดในบรรดากล้องที่ฉันได้เคยใช้มา